ข่าวฟุตบอลวันนี้กับคำพูดของ รอย คีน อดีตกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พูดใส่ ปาทริค วิเอร่า อดีตกัปตันทีม อาร์เซน่อล
ว่า “เดี๋ยวฉันจะไปเจอแกในสนาม”, การที่นักเตะ manchester united ทำฟาวล์แบบไม่สมควรใส่นักเตะทีม arsenal หลายครั้งในการแข่ง การที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดนปาพิซซ่าใส่หลังจบเกม ฯลฯ คือตัวอย่างที่มักจะถูกพูดถึงกัน เมื่อพูดถึงเรื่องความดุเดือดเกี่ยวกับความเป็นคู่แข่งกันระหว่าง manchester united และ arsenal
เป็นช่วงเวลายาวนานกว่า 20 ปีแล้วที่ manchester united กับ arsenal คือคู่อริทื่มีการกล่าวขวัญเรื่องความดุเดือดมากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ จนถึงขนาดที่ว่าทางสถานีโทรทัศน์นั้นเคยยอมเลื่อนเกมการแข่งขันจากเวลาปกติบ่าย 3 โมง ที่ไม่ใช่ช่วงที่มีคนดูมากเท่าไหร่นั้น ไปเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของสถานี เพื่อที่จะได้เพิ่มเรตติ้งให้กับทางช่อง ขณะที่เกมนัดชิงชนะเลิศของ เอฟเอ คัพ เมื่อฤดูกาล 2004-05 ที่ อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายชนะในช่วงดวลจุดโทษนั้นได้ มันก็มีคนชมเกมนี้ทั่วโลกถึงมากกว่า 480 ล้านคนพร้อมๆกันทั่วโลก
นอกจากนี้แล้วเกมลีกที่ manchester united เจอกับ arsenal มักจะถูกมองว่าเป็นเกมที่มันมีความสำคัญต่อการลุ้นแชมป์ลีกมากๆ จนทำให้นักเตะของทั้งสองทีมนั้นเตะกันเหมือนกะเอาให้อีกฝ่ายตาย และเหมือนจับดาบลงไปทำสงครามกันจริงๆ จนทำให้เคยมีใบเหลืองใบแดงปลิวว่อนไปหมดทั้งสนามและนั้นก็เป็นเหมือนการโปรโมทให้ทั้ง 2 ทีมเพราะทุกคนต่างก็รอลุ้นกันว่าทีมใหนจะโดนใบแดงให้ออกจากสนามไปก่อน
ปัจจุบันน่าเศร้าที่พวเรานั้นได้เห็นก็ได้ความดุเดือดของการเป็นคู่อริกันระหว่างทั้งคู่หายไปเยอะ จริงอยู่ในด้านรูปเกมแล้วนั้นมันอาจจะยังทำให้แฟนบอลรู้สึกสนุกในระดับหนึ่ง เพราะหนสุดท้ายที่การเจอกันของทั้งคู่จบลงด้วยการที่เสมอกันแบบไร้สกอร์ในเกมแบบมีความหมายมันมีแต่ในความดุเดือดของการแข่งขันก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม โดยในรอบ 10 เกมหลังจากรอบหลังสุดของการเจอกันในทุกรายการ มันมีคนที่โดนไล่ออกเพียงแค่คนเดียว นั่นคือ ปอล ป็อกบา ที่โดนใบแดงเมื่อปี 2017 แต่วันนั้น แมนยู ก็ยังชนะไป 3-1 ไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะชนะเพียงแค่ลูกเดียวแต่โดนใบแดงไปถึง 3 – 4 ใบในเกมเดียวที่แข่ง
หลายคนมองว่าสิ่งที่เป็นเหมือนจุดจบของความเป็นคู่อริกันของทั้งคู่คือการที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินว่า อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตยอดนายใหญ่ของ อาร์เซน่อล ไม่สามารถทำให้ทีมมีลุ้นแย่งแชมป์กันกับเขาได้อีกต่อไป แถมยังมีการมาถึงของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตอนนั้นเป็นกุนซือหนุ่มเลือดร้อนแรงแต่ตอนนี้เค้าก็เริ่มมีอายุมากขึ้นและแผนการเล่นต่างๆเลยรัดกุมมากขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ ทั้งสองทีมยังทำการซื้อ-ขายนักเตะกันแบบเป็นมิตรในระดับหนึ่งในช่วงตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาอีกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น มิกาแอล ซิลแวสต์ ที่ย้ายออกจากทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ไปซบ อาร์เซน่อล ในปี 2008, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่บอกลากรุงลอนดอนมาอยู่กับทีมสีแดงของเมืองแมนเชสเตอร์ตามความต้องการของตัวเองในปี 2012, แดนนี่ เวลเบ็ค ที่เดินทางกลับลงไปอยู่ที่กรุงลอนดอนแทนในปี 2 ปีต่อมา และดีลย้ายทีมแบบสลับขั้วสุดฮือฮาระหว่าง อเล็กซิส ซานเชซ กับ เฮนริค มคิทาร์ยาน ที่สุดท้ายก็ล้มเหลวกับทีมใหม่ทั้งคู่ ทั้งที่ถ้าเป็นยุคสมัยที่ยังเป็นคู่อริกันแล้วนั้น มันแทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเกิดการทำธุรกิจกันระหว่างทั้งสองทีมที่ช่วยกันมาตลอดในช่วงหลังของการซื้อขายนักเตะในตลาด
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกี่ยวกับความเป็นคู่อริกันของ manchester united กับ arsenal ก็คือ เดิมพันจากการที่เคยขับเคี่ยวและลุ้นแชมป์กัน แทบจะเหลือเพียงแค่การ “ชิงอันดับในกลุ่มบนของตารางคะแนนนั้น” กันเท่านั้น หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาผลงานของทั้งสองทีมต่างก็ถือว่าน่าผิดหวังมากเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ในอดีต จนแทบจะไม่มีนัดไหนเลยที่ทั้ง2ทีมในตอนนั้นทั้งสองทีมอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์พร้อมๆ กัน อย่างดีที่สุดคือตอนนั้นมีเพียงทีมเดียวที่มีลุ้นแชมป์
arsenal ถูกหลายทีมสบประมาณว่าตัวของทีมนั้นได้หลุดจากกลุ่มลุ้นแชมป์มานานแม้กระทั่งตั้งแต่ตอนที่ เวนเกอร์ ยังอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว โดยแชมป์ลีกครั้งล่าสุดของพวกเขานั้นต้องย้อนกลับไปถึงฤดูกาล 2003-04 และแม้ว่าในซีซั่นต่อมาพวกเขาจะเป็นเพียงแค่เพียงรองแชมป์ แต่ก็มีแต้มน้อยกว่า เชลซี ที่เป็นแชมป์มากถึงถึง 8 แต้ม นอกจากนี้นั้น ถ้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาร์เซน่อล ก็เป็นรองแชมป์อีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง นั่นคือซีซั่น 2015-16 แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอวดเท่าไหร่ นั้นก็เพราะพวกเขาแพ้ให้กับทีมอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 10 คะแนน ทำให้ภาพลักของทีมนั้นย้ำแย่เกินกว่าที่จะกลับมาเก็บแชมป์ได้
ทางด้าน manchester united ก็อย่างที่รู้กันดีว่าล้มเหลวของทีมอย่างหนักนับตั้งแต่หมดยุคของเทพ เฟอร์กูสัน ถึงแม้จะมีแชมป์บอลถ้วยอยู่บ้าง แต่ในลีกนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะคว้าแชมป์สมัยที่ 21 มาครองได้แต่อย่างได โดยหลังจากที่ เฟอร์กูสัน วางมือจากการคุมทีมไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2013 “man u” ก็ติดท็อปโฟร
เพียงแค่ 2 ครั้ง และถึงแม้จะเป็นรองแชมป์ลีกอีกเพียง 1 หน ในฤดูกาล 2017-18 แต่มันก็ไม่ได้น่าภูมิใจเหมือนกัน เพราะพวกเขาแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 19 คะแนนก็ตาม
และแน่นอนว่าเกมวันจันทร์ที่จะถึงนี้มีโอกาสที่รูปเกมจะดูน่าตื่นเต้นขึ้นไปกว่าเดิมอีกครั้งเพราะ manchester united มีดาวรุ่งฟอร์มฮอตอย่าง แดเนี่ยล เจมส์ หรือ อาร์เซน่อล ที่มีกองหน้าชั้นนำอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง แต่ในเรื่องการเตะกันแบบนี้เหมือนกับว่าสนามบอลเป็นเหมือนสนามรบคงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะดีกรีความเป็นคู่แข่งกันมันเบาลงไปเยอะ
เกมในวันจันทร์นี้ก็จะเป็นอีก 1 นัดที่การเจอกันระหว่างทีมยอดเยี่ยมทั้ง2ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล เป็นเพียงการสู้กันเพื่อ “ชิงอันดับที่ดี” ไม่ใช่การลุ้นแชมป์เหมือนในอดีต ซึ่งมันก็ทำท่าว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกซักพักหนึ่งเพราะทั้ง 2 ทีมต่างก็มีแผนการเล่นที่รัดกุมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจของทั้ง 2 ทีม
การเจอกันครั้งแรกในเกมแบบเป็นทางการของทั้ง2ทีม – ดิวิชั่น 2 วันที่ 13 ตุลาคม 1894 โดยที่ นิวตัน ฮีธ (ชื่อเดิมของ แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอกับ วูลวิช อาร์เซน่อล 3-3
เกมที่ยิงกันเยอะที่สุด – manchester united ชนะ arsenal 8-2 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2011
ครั้งที่ arsenal บุกไปชนะ manchester united เมื่อนับรวมทุกรายการ – เกม เอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2014-15 อาร์เซน่อล ชนะ 2-1
ครั้งที่ arsenal บุกไปชนะ manchester united ในเกมลีก – ปี 2006 อาร์เซน่อล ชนะ 1-0
ติดตามข่าวฟุตบอลใหม่ๆก่อนใครได้ที่ fifa55king
ข่าวอื่นๆที่น่าสนใจ : เผยเม็ดเงินไนกี้จ่ายให้ลิเวอร์พูลต่อซีซั่นมากขนาดใหน?
ความเห็นเดียวใน “แมนยู กับ อาร์เซน่อล คู่แข่งตลอดกาลกับเกมที่ไม่เหลือมนต์ขลัง”
ความเห็นถูกปิด